รัฐบาลอินเดียเผยงบประมาณคลังปี FY 2019 เดินหน้าทำ Fiscal Consolidation
BF Knowledge Center • รัฐบาลอินเดียตั้งเป้างบประมาณคลังปี FY 2019 (เม.ย. 2018-มี.ค. 2019) ขาดดุลที่ -3.3% ของ GDP ต่ำลงจากงบประมาณคลังปี FY 2018 (เม.ย. 2017-มี.ค. 2018) ที่ -3.5% ของ GDP สะท้อนความพยายามในการลดค่าใช้จ่ายการคลัง • เม็ดเงินงบประมาณส่วนใหญ่เน้นไปที่พัฒนากลุ่มชนบท ซึ่งน่าจะให้ผลบวกกับการก่อสร้างพื้นฐาน,ภาคการผลิตอุตสาหกรรม, และการเงินการธนาคาร ขณะที่รัฐบาลคาดว่าจะได้รับรายได้เพิ่มจากการเก็บภาษี GST ด้วย รัฐบาลอินเดียมีความพยายามลดการขาดงบประมาณคลังอย่างต่อเนื่อง ฝั่งรายได้: รัฐบาลอินเดียประมาณการว่าจะรับรู้รายได้เพิ่มในสัดส่วน 0.5pp ของ GDP โดยที่รายได้คลังจะขยายตัวที่ 16.7% YoY แหล่งรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้นมาจากการเก็บภาษี GST ฝั่งรายจ่าย: ขยายตัวประมาณ 10.1% YoY ในรายองค์ประกอบรัฐบาลปรับงบลงทุนลงประมาณ 0.3pp ของ […]
อินเดียเล็งยกเลิกภาษีนำเข้าถ่านโค้ก ช่วยลดต้นทุนผู้ผลิต
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กระทรวงอุตสาหกรรมเหล็กอินเดียเตรียมยกเลิกภาษีนำเข้าถ่านโค้ก (coking coal) หวังลดต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตเหล็กในประเทศ โดได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงการคลังอินเดียนำเข้าในการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2018 พร้อมทั้งให้พิจารณายกเลิกภาษีนำเข้าส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตสเตนเลสสตีล ทั้งนี้ผู้ผลิตเหล็กในอินเดียต้องพึ่งพาการนำเข้าถ่านโค้กจากต่างประเทศ โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าจากออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก ขณะที่ราคาถ่านโค้กชั้นดีเพิ่มขึ้นถึง 34% ในปี 2017 หลังปริมาณอุปทานในตลาดโลกลดลง เนื่องจากพายุไซโครนเด็บบี้พัดเข้าสู่ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญ
อินเดีย: พรรค BJP ของนายกฯ Modi ชนะเลือกตั้งในรัฐ Gujarat
พรรค BJP ยังสามารถครองเสียงข้างมากในสภาท้องถิ่นด้วยจำนวนที่นั่ง 99 ที่นั่งจากทั้งหมด 182 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งของรัฐ Gujarat แต่ลดลงจากก่อนการเลือกตั้งที่ 115 ที่นั่ง โดยนาย Modi เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าการรัฐนี้ก่อนที่จะมาเป็นนายกฯ คะแนนเสียงของพรรค BJP ที่ลดลงในรัฐ Gujarat ชี้ถึงความนิยมที่ถูกกระทบของนาย Modi หลังรัฐบาลดำเนินนโยบายปฏิรูป เช่น การยกเลิกการใช้พันธบัตร 500 และ 1,000 รูปี และการเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บภาษีเป็น Good and Services Tax (GST) ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอลงในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้พรรค BJP ของนาย Modi ได้คะแนนเสียงอย่างท่วมท้น ในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2014 และจะครบกำหนดวาระต้องเลือกตั้งใหม่ในปี 2019 เราคาดว่าก่อนที่การเลือกตั้งทั่วไปจะมาถึง รัฐบาลจะหันกลับมาให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้นในปีหน้า ผ่านทางนโยบาย เช่น การเพิ่มทุนในภาคธนาคาร และการเพิ่มการใช้จ่ายในภาคชนบท […]
China Emerging Markets India Market
ตลาดหุ้นของตลาดเกิดใหม่ร้อนแรงปีนี้
ตลาดหุ้นของสหรัฐฯยังคงทะยานต่อเนื่อง ทำสถิตินิวไฮมาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาด S&P 500 ขึ้นไปแตะระดับ 2,600 จุดเป็นครั้งแรกในวันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ความจริงแล้วตลาดหุ้นเกิดใหม่เป็นดาวรุ่งตัวจริงของปีนี้ MSCI Emerging Markets Index หรือดัชนีของตลาดเกิดใหม่ MSCI ในปีนี้ขึ้นไปแล้ว 34% เทียบกับ 9% ในปีที่แล้ว และเทียบกับตลาด S&P 500 ขึ้นไปเพียง 16% ในปีนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นของตลาดเกิดใหม่พุ่งขึ้นสูงเพราะว่าหลายๆประเทศเริ่มมีเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น ฐานะการคลังดีขึ้นและกำลังผ่านสู่ขบวนการปฏิรูป ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย อินเดีย และจีน มีเม็ดเงิน 85,000 ล้านดอลลาร์ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีทำให้ราคาหุ้นของตลาดเกิดใหม่สูงขึ้นไม่ว่าจะเป็นตลาดอินเดีย จีน บราซิล ฮ่องกง และไทยด้วย เมื่อพูดถึงระดับราคาแล้ว ตลาดเกิดใหม่ยังคงถูกเมื่อเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้ว โดยค่า P/E เฉลี่ยอยู่ที่ 12 เท่า เทียบกับ 18 เท่าสำหรับตลาดสหรัฐ […]
มูดีส์ปรับเพิ่มเร็ทติ้งอินเดีย เพราะมั่นใจแผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทางมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ได้ประกาศเร็ทติ้งของความน่าเชื่อถือในฐานะการเงินของประเทศอินเดียเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทสแตนดาร์ด & พัวร์ และฟิตช์เร็ทติ้งยังไม่ได้ขยับอะไร มูดี้ส์เพิ่มเร็ทติ้งความน่าเชื่อถือในเครดิตของของอินเดียจาก Baa3 เป็นBaa2 หรือ 2 ขั้นเหนือระดับที่ลงทุนได้ หรืออินเวสเม้นท์เกรด ถ้าหากว่า เร็ทติ้งต่ำกว่าอินเวสเม้นท์เกรด หมายความว่าบอนด์ หรือพันธบัตรที่ออกจะถูกจัดชั้นเป็นจั๊งค์ หรือขยะ ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจะมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ การปรับเพื่มเร็ทติ้งของอินเดียครั้งแรกในรอบ 14 ปี สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือเริ่มมีความมั่นใจในทิศทางการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ และความเข้มแข็งของสถาบันของอินเดีย ที่ผ่านมา เร็ทติ้งของอินเดียอยู่ระดับ 1 ขั้นเหนืออินเวสเม้นท์เกรด เพราะว่าอินเดียมีหนี้สูง (69.58%ต่อจีดีพีในปี2016) มีความอ่อนแอต่อราคาน้ำมันที่สูงในตลาดโลก เพราะว่าอินเดียนำเข้าน้ำมันสูง ทำให้เกิดผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัด งบประมาณแผ่นดินที่ขาดดุล และค่าเงินรูปีที่ผันผวน รวมทั้งหนี้ในระบบสถาบันการเงินยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่มาระยะหลังราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกอยู่ระดับต่ำ บวกกับมาตรการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจของรัฐบาลโมดี้ที่เริ่มเห็นผล ทำให้มีความมั่นใจว่าอินเดียจะสามารถเพิ่มรายได้ภาษี เศรษฐกิจจะเติบโตในระดับสูงต่อเนื่อง หนี้ของประเทศจะไม่เพิ่มต่อไปอีก ในขณะเดียวกัน Arun Jaitley รัฐมนตรีการคลังของอินเดียได้ออกมาพูดว่าเศรษฐกิจของอินเดียจะกลับมาเติบโตในระดับ 7%-8% ต่อปี
เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโต 1 เท่าตัวในอีก 7-8 ปีข้างหน้า
บริษัทหลักทรัพย์ CLSA ออกรายงานว่าเศรษฐกิจของอินเดียคาดว่าจะเติบโตในระดับ 6.8% ในปี 2017-2018 นี้ แต่กำลังมีการฟื้นตัวโดยเศรษฐกิจปีหน้าจะโต 7.0-7.5% เศรษฐกิจของอินเดียชะลอตัวลงจากปีที่แล้วที่โต 7.1% สาเหตุหลักมาจากการยกเลิกธนบัตรเก่ากว่า 80% ของธนบัตรที่หมดเวียน และการนำเอาระบบภาษีใหม่ หรือ Goods and Services Tax มาใช้ ทำให้เกิดความสับสนในระยะแรก ช่วงที่มีการใช้ระบบ Goods and Services Taxใหม่ ภาคธุรกิจและภาคการผลิตเกิดการลดสต็อคสินค้า เพราะว่าไม่รู้แน่ชัดว่าสินค้าประเภทใดต้องจ่ายภาษีเท่าใด ทำให้มีผลกระทบต่อกระบวนการผลิตแบบซับไพลเชน แต่ CLSA บอกว่า ธุรกิจและภาคการผลิตของอินเดียเริ่มกลับมาสต็อคสินค้าหรือวัตถุดิบเหมือนเดิมแล้ว ทำให้เศรษฐกิจของอินเดียกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง นาย Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mahindra Asset Management Co บอกว่าเศรษฐกิจของอินเดีย และจีนมีขนาดเท่ากันที่ 250,000 ล้านดอลลาร์ในปี 1990 แต่เวลานี้เศรษฐกิจของจีนใหญ่กว่าอินเดียถึง […]
ทรัมป์ชูบทบาทของอินเดียในเอเชีย
ตลอดระยะเวลาการเดินทางมาเยือนเอเชียเป็นเวลา 12 วันของประธานาธิบดีทรัมป์ ปรากฎว่าทรัมป์เรียกภูมิภาคนี้ว่าอินโดแปซิฟิค แทนที่จะเรียกเอเชีย หรือเอเชียแปซิฟิค ทรัมป์ใช้คำว่าอินโดแปซิฟิคเป็นครั้งแรกในการพบปะกับผู้นำธุรกิจของเอเปคในวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ประเทศเวียดนาม โดยบอกว่าในภูมิภาคอินโดแปซิฟิคนี้ ประเทศที่มีเอกราชต้องสามารถที่จะเจริญก้าวหน้าอย่างมีเสรีภาพ และสันติภาพ และทุกประเทศต้องเล่นตามกฎกติกา เมื่อทรัมป์เดินทางต่อมาถึงฟิลิปปินส์ ทรัมป์ใช้ศัพท์คำว่าอินโดแปซิฟิคซ้ำกันหลายครั้ง การใช้คำศัพท์อินโดแปซิฟิคสะท้อนนโยบายของสหรัฐฯที่ต้องการให้อินเดียมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคเอเชีย โดยในทางความมั่นคงแล้ว สหรัฐฯต้องการเห็นอินเดียเล่นบทบาทที่เด่นขึ้นในการทานอำนาจของจีน นาย C. Raja Mohan ผู้อำนวยการของ Carnegie India กล่าวว่า การใช้ศัพท์คำว่าอินโดแปซิฟิคของทรัมป์เป็นเรื่องที่ดีสำหรับอินเดีย เพราะว่ามันสร้างโอกาสให้บทบาทของอินเดียเพิ่มขึ้นในการถ่วงดุลอำนาจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค หรือพูดกันง่ายๆ สหรัฐฯต้องการให้อินเดียมีบทบาทเพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้ ในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดียเป็นไปในทิศทางที่ไม่สู้ดีนัก อินเดียไม่สนับสนุนโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน เพราะเห็นว่าจีนไปสนิทชิดเชื้อกับปากีสถานมากเกินไป โดยจีนให้เงินสนับสนุนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของปากีสถานบนพื้นที่อินเดียและปากีสถานมีความขัดแย้งในการอ้างกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้ จีนและอินเดียมีปัญหาเรื่องพรมแดนกันมาเป็นเวลาช้านาน นโยบายต่างประเทศ หรือ Look East Policy ของอินเดียได้ให้ความสำคัญกับเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากยิ่งขึ้น เพราะว่าจีนมองตัวเองว่าเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคเหมือนกับจีน สหรัฐฯมีความสัมพันธ์กับอินเดียแนบแน่นมากยิ่งขึ้น เพื่อใช้อินเดียในการคานอิทธิพลของจีน การเดินทางเยือนเอเชียของทรัมป์ในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะส่งสัญญานว่าสหรัฐฯยังคงสนใจในภูมิภาคนี้ ท่ามกลางอิทธิพลของจีนที่เพิ่มขึ้นและกำลังทดแทนอิทธิพลของสหรัฐฯ ทรัมป์และนายกรัฐมนตรีนาเรนดรา โมดี้ของอินเดียมีโอกาสพบกันสองต่อสองที่กรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ในวันที่ […]
เศรษฐกิจอินเดียขึ้นอันดับ 3 ของโลกในปี 2028
เศรษฐกิจอินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 3 ของโลก ตามหลังสหรัฐและจีนภายในปี 2028 เนื่องจากภาคการเงินที่เติบโตขึ้น รวมทั้งตลาดผู้บริโภคที่ขยายตัวตามจำนวนประชากรของอินเดีย รายงานของ Bank of America-Merill Lynch ระบุว่าเศรษฐกิจอินเดียจะแซงหน้าเศรษฐกิจของฝรั่งเศส และอังกฤษในปี 2019 ภายในปี 2027 ราคารถที่ถูกที่สุดจะเทียบเท่ารายได้เฉลี่ยต่อตัวต่อปีของคนอินเดีย เมื่อเทียบกับ 2.5 เท่า ในตอนนี้ ขณะที่เป็น 14.5 เท่าของเฉลี่ยรายได้ต่อหัวต่อปีในปี 2000 รายงานของ Bank of America-Merill Lynch บอกว่า ภายในปี 2028 ชาวนาเกือบจะทั้งหมดจะกลายเป็นผู้ที่มีรายได้ระดับกลาง โดยที่ประชากรกลุ่มนี้จะมีจำนวนเท่ากับประชาชนของรัสเซีย และจะอาศัยอยู่ในเมือง ในปี 2028 Bank of America-Merrill Lynch ทำนายว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 68 ดอลลาร์ต่อบาเรลล์ และค่าเงินรูปีจะอ่อนตัวลง 3% ระหว่างนี้ไปจนถึงปีนั้น เศรษฐกิจอินเดียจะมีภาคบริการเป็นตัวขับเคลื่อน […]
Fund Comment India
สัมภาษณ์สด Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการ Kotak Mahindra Asset Management
Nilesh Shah กรรมการผู้จัดการของ Kotak Mahindra Asset Management Co ให้สัมภาษณ์กองทุนบัวหลวงว่า เศรษฐกิจอินเดียจะเติบโตเป็นเท่าตัวจากระดับปัจจุบันในอีก 7-8 ปีข้างหน้า ทำให้ตลาดหุ้นจะเติบโตเป็นเงาตามตัว ในขณะเดียวกันมีโอกาสสูงในการลงทุนในหุ้นมิดแค็ปของอินเดียที่จะปรับตัวกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอนาคต ในช่วง1990 เศรษฐกิจอินเดียและเศรษฐกิจจีนมีขนาดเท่าๆกัน แต่เวลานี้เศรษฐกิจจีนใหญ่กว่าอินเดีย 5 เท่า โดยการเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมทางการเงินเป็นปัจจัยที่สำคัญ จีนมีระบบเครดิตเมื่อเทียบกับจีดีพีที่ระดับ 211% เทียบกับเพียง 57% สำหรับอินเดีย ด้วยเหตุนี้อินเดียจึงมีโอกาสเติบโตสูงทางเศรษฐกิจที่จะได้รับการขับเคลื่อนโดยภาคการเงิน รัฐบาลอินเดียกำลังเปลี่ยนกฎเกณฑ์และระเบียบต่างๆเพื่อที่จะสนับสนุนการออมทางการเงิน เพื่อนำไปสู่การลงทุน และการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ นาย Shah กล่าวว่า ในปี 1990 เศรษฐกิจอินเดียมีขนาด 250,000 ล้านดอลลาร์ แต่ทุกว่านี้เศรษฐกิจจีนมีขนาดเติบโตขึ้นอยู่ระดับ 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการได้ว่าเศรษฐกิจอินเดียจะโตเป็นเท่าตัวของระดับปัจจุบันในอีก 7-8 ปีข้างหน้า เมื่อเศรษฐกิจเติบโตดีเป็นอีกเท่าตัวใน 7-8 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นจะเติบโตดีได้เช่นเดียวกัน สำหรับโอกาสการลงทุนในหุ้นมิดแค็ป นายชาห์กล่าวว่าเศรษฐกิจอินเดียมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากไปในทิศทางกับเทรนด์ของโลก 20 […]