หุ้นไทยวันที่ 19 ก.พ. 2563 ปิดตลาดที่ 1,505.54 จุด ลดลง 8.14 จุด
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 19 ก.พ. 2563 ปิดตลาดที่ 1,505.54 จุด ลดลง 8.14 จุด หรือ -0.54% ระหว่างวันสูงสุดที่ 1,523.61 จุด ต่ำสุดที่ 1,501.74 จุด มูลค่าการซื้อขาย 68,726.32 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.BAM ปิดที่ 27.50 บาท ลดลง -1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 5,012.44 ลบ. 2.AOT ปิดที่ 67.75 บาท ลดลง -1.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,361.64 ลบ. 3.PTT ปิดที่ 44.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 […]
อังกฤษเตรียมใช้ระบบคะแนนคัดกรองให้แรงงานทักษะเฉพาะได้วีซ่าเข้าเมืองหลังเบร็กซิท
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า อังกฤษกำลังเตรียมระบบตรวจคนเข้าเมือง โดยจะจัดลำดับความสำคัญให้คนทำงานที่มีทักษะสูงทั่วโลกก่อน หลังจากที่อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (เบร็กซิท) แล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่อังกฤษต้องการยุติการพึ่งพาแรงงานราคาถูกจากยุโรป ขณะนี้ แรงงานทักษะสูงมีความกังวลมากขึ้นว่าจะได้รับผลกระทบด้านการเข้าเมืองภายหลังจากเบร็กซิทมีผลแล้ว โดยประเด็นการเข้าเมือง เป็นปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการที่อังกฤษชนะคะแนนเสียงให้ออกจากสหภาพยุโรปเมื่อปี 2016 และรัฐบาลวางแผนว่าจะทำให้จำนวนคนเข้าเมืองลดลง ระบบใหม่ของอังกฤษจะกำหนดคะแนนผู้ที่มีทักษะเฉพาะ โดยดูคุณสมบัติ เงินเดือน และอาชีพ พร้อมให้วีซ่าเฉพาะคนที่ได้คะแนนตามเกณฑ์ เริ่มวันที่ 1 ม.ค. 2021 โดยจะปฏิบัติกับพลเมืองยุโรปและพลเมืองที่ไม่ได้มาจากยุโรปเหมือนกัน “นี่เป็นครั้งแรกในหลายทศวรรษ ที่อังกฤษจะควบคุมอย่างเต็มที่กับบุคคลที่จะเข้ามาในประเทศ รวมถึงการดำเนินงานของระบบตรวจคนเข้าเมืองของอังกฤษ” ข้อมูลในเอกสารนโยบายนี้ ระบุไว้ รัฐบาลอังกฤษ ระบุว่า จะดำเนินการตามคำแนะนำที่คณะกรรมการที่ปรึกษาด้านการย้ายถิ่นฐาน (MAC) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษากับรัฐบาล ให้ไว้เมื่อเดือนก่อน โดยจะลดเกณฑ์เงินเดือนขั้นต่ำสำหรับพนักงานที่มีทักษะเหลือ 25,600 ปอนด์ หรือ 33,330 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี จากเดิมวางไว้ที่ 30,000 ปอนด์ต่อปี สำหรับ แรงงานมีทักษะต้องประกอบด้วยทักษะเฉพาะและความสามารถการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้จะใช้ตั้งแต่ขั้นตอนเสนองาน ส่วนแรงงานมีทักษะต่ำ ไม่มีความสามารถเฉพาะทาง รัฐบาลหวังว่าจะลดลงเพื่อลดจำนวนคนเข้าเมือง […]
B-INCOME B-SENIOR B-SENIOR-X BF Knowledge Center
ยุคนี้ทำไมต้อง Mixed Fund
โดย…อรพรรณ บัวประชุม CFP® ผู้เชี่ยวชาญด้านการวางแผนทางการเงิน ถ้าพูดถึง “ผลตอบแทน” ที่ครองใจคนไทยมายาวนาน คงหนีไม่พ้น “ดอกเบี้ย” ซึ่งดอกเบี้ยที่เราคุ้นเคยกันดี ก็คือดอกเบี้ยเงินฝาก หากดูย้อนหลังไป 15 ปี อัตราดอกเบี้ยนโยบายเคยขึ้นไปสูงถึง 5% ในปี 2549 แต่ในปัจจุบันนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.00% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ และมีแนวโน้มจะลดลงอีก ดูๆ แล้วโอกาสที่ดอกเบี้ยเงินฝากจะกลับไปสูงเหมือนในอดีตคงเป็นไปได้ยากกับยุคนี้สมัยนี้ แต่การจะปล่อยเงินที่มีอยู่ไปกับการฝากเงินแบบเดิมๆ เงินที่มีอยู่ก็คงจะโตตามเงินเฟ้อไม่ทัน สุดท้ายแล้ว ยิ่งฝาก ค่าของเงินก็ยิ่งลดน้อยลง ดังนั้น การลงทุนในยุค disruption ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวเอง ปรับเปลี่ยนความคิด ปรับเปลี่ยนหัวใจ ต้องเพิ่มความกล้าขึ้นมาอีกนิด เพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาอีกหน่อย เอาเท่าที่ใจเรายังสบายๆ ไม่วิตกกังวลกับการลงทุนมากเกินไป เพิ่มส่วนผสมของความเร้าใจเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตราสารหนี้ อย่างเช่น พันธบัตร หุ้นกู้ การลงทุนในหุ้น การลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน หรือแม้แต่การลงทุนในทองคำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนให้สูงขึ้น แต่การผสมผสานอย่างไรที่จะเหมาะกับเรา […]
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นอินเดียมิดแคปเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-INDIAMRMF)
อัพเดทสถานการณ์จากผู้จัดการกองทุนหลัก Kotak India Mid Cap Fund ตลอดปี 2019 หุ้นอินเดียขนาดกลางและขนาดเล็ก (Mid to Small Cap) สร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าหุ้นอินเดียขนาดใหญ่ (Large Cap) เพราะเศรษฐกิจมหภาคมีอัตราการเติบโตที่ลดลงชัดเจน สภาพคล่องในระบบทรงตัว ต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น ในวัฎจักรดังกล่าวหุ้นขนาดกลางและเล็กมักจะให้ผลตอบแทนโดยเปรียบเทียบด้อยกว่าหุ้นขนาดใหญ่อยู่เสมอ ประกอบกับบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มมิดแคปส่วนใหญ่มีรายได้มาจากภาคชนบทและรัฐต่างๆ นอกจากนี้ยังมีประเด็น การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบในการดำเนินธุรกิจ เช่น การปฏิรูปภาษี GST (Goods and Services Tax), Insolvency Bankruptcy Code, Real Estate Regulatory Act และการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบด้านความปลอดภัยในการผลิตรถยนต์ สิ่งทั้งหมดที่ว่านี้ส่งผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ลดลงต่อเนื่องมา 5 ไตรมาสติดต่อกัน จากระดับ 8% สู่ 7% (ในไตรมาส 3 ปี […]
หุ้นไทยวันที่ 18 ก.พ. 2563 ปิดตลาดที่ 1,513.68 จุด ลดลง 13.57 จุด
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 18 ก.พ. 2563 ปิดตลาดที่ 1,513.68 จุด ลดลง 13.57 จุด หรือ -0.89% ระหว่างวันสูงสุดที่ 1,522.33 จุด ต่ำสุดที่ 1,510.52 จุด มูลค่าการซื้อขาย 49,275.59 ล้านบาท หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.BAM ปิดที่ 29.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 4,961.16 ลบ. 2.AOT ปิดที่ 69.25 บาท ลดลง -0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,664.08 ลบ. 3.PTTGC ปิดที่ 50.00 บาท ลดลง -2.50 […]
B-HY (H75) AI B-HY (UH) AI Product Update
กองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (เฮดจ์ 75) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (H75) AI) และกองทุนเปิดบัวหลวงไฮยิลด์ (อันเฮดจ์) ห้ามขายผู้ลงทุนรายย่อย (B-HY (UH) AI)
บทสัมภาษณ์ทิศทางตลาดยูเอสไฮยิลด์จาก Mr. Charl Pepper Whitbeck, Head of AXA US High Yield Bond Fund หากมองในปี 2019 ท่านผู้ถือหน่วยคงจำได้ว่าเป็นปีที่ตลาดยูเอสไฮยิลด์มีความผันผวนต่ำมาก ตลาดยูเอสไฮยิลด์เป็นขาขึ้นตลอดทางเพราะช่วงก่อนหน้าเคยเผชิญกับแรงขายในช่วงปลายปี 2018 แต่ในปี 2019 ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยยูเอสไฮยิลด์กับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Spread) แคบลงตลอดทาง ดัชนีตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์ให้ผลตอบแทนรายเดือนติดลบเพียงเดือนเดียว ด้วยเหตุที่ว่า นักลงทุนเกรงว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จึงขยับไปถือครองตราสารหนี้ซึ่งมีคุณภาพที่ดีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับมีทิศทางตรงกันข้ามกับที่ตลาดมอง โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้กลับลำ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงทำให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯที่เคยทรงตัวอยู่ในรูปแบบ Flattening Yield curve (ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นเท่ากันกับผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว) วกกลับมาเป็น Inverted yield Curve (ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นน้อยกว่าผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว) กองทุนหลักถือครองตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์ที่มีอายุยาวจึงให้ผลตอบแทนดีกว่าดัชนี ในช่วงเวลาดังกล่าวกองทุนหลัก เริ่มทยอยปรับเพิ่มน้ำหนักกับตราสารหนี้ยูเอสไฮยิลด์ที่มีอายุสั้นมากขึ้น เพราะเป็นกลยุทธ์ของกองทุนหลักที่จะ stay Defensive สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมของตราสารหนี้ที่กองทุนหลักถือครองอยู่นั้น ตราสารหนี้ในกลุ่มพลังงานให้ผลตอบแทนโดดเด่น กองทุนหลักลงทุนตราสารหนี้ในกลุ่มนี้โดยคัดเลิอกบริษัทผู้ให้บริการท่อส่งน้ำมันที่รายได้ไม่ผันผวนไปตามราคาน้ำมันดิบโลก […]
B-GLOBAL B-GLOBALRMF Product Update
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอล (B-GLOBAL) และกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นโกลบอลเพื่อการเลี้ยงชีพ (B-GLOBALRMF)
ผลตอบแทนของดัชนีหุ้นโลก ผลตอบแทนของกองทุนหลัก และมุมมองต่อหุ้นรายตัวที่กองทุนหลักถือครอง ผลตอบแทนในไตรมาส 4Q2019 กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนได้ 8.7% เทียบกับดัชนี MSCI AC World ที่ 9.0% (ขณะที่ผลตอบแทนรายปี (CY2019) กองทุนหลักสร้างผลตอบแทนได้ 26.0% ใกล้เคียงกับดัชนีที่ 26.6%) หากมองผลตอบแทนรายภูมิภาคของดัชนี เช่น จีน ตลาดเกิดใหม่ อเมริกาเหนือ ยุโรป และญี่ปุ่น ผลตอบแทนที่โดดเด่นของตลาดหุ้นจีนมาจากช่วงโค้งสุดท้ายของปีเหตุจากความคืบหน้าด้านการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ กราฟ: แสดงผลตอบแทนของดัชนีตลาดหุ้นในภูมิภาคต่างๆเฉพาะในไตรมาส 4Q2019 (สีน้ำเงินเข้ม) เทียบกับผลตอบแทนดัชนีทั้งปี 2019 (สีฟ้าอ่อน) และหากจำแนกผลตอบแทนของดัชนี MSCI แยกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม จะเห็นว่า หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนรายปีสูงสุดถึง 48% ขณะที่กลุ่มซึ่งมีรายได้ผันเป็นไปตามวัฏจักรเศรษฐกิจ เช่น วัสดุก่อสร้าง สถาบันการเงิน ราคาหุ้นมีทิศทางฟื้นตัวชัดเจนในไตรมาสสี่ กราฟ 2: แสดงผลตอบแทนของดัชนี MSCI จำแนกตามรายกลุ่มอุตสาหกรรม […]
มาเลเซียเผยมีหน่วยงานดูแลมาตรฐานความปลอดภัยพิจารณาว่าใครจะร่วมแผนเปิดตัว 5G ปีนี้
สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า กระทรวงการสื่อสารของมาเลเซียให้ข้อมูลว่า หน่วยงานดูแลมาตรฐานความปลอดภัยมาเลเซียจะกำหนดว่าบริษัทใดเข้ามามีส่วนร่วมในแผนเปิดตัว 5G ปีนี้ได้ ท่ามกลางกระแสที่สหรัฐฯ กำลังกดดันประเทศต่างๆ ไม่ให้เปิดรับหัวเว่ยของจีนเข้าร่วม หัวเว่ยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นรายสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ ออกแคมเปญจำกัดการใช้เทคโนโลยีจีนพัฒนาแพลตฟอร์มโทรคมนาคมรุ่นต่อไป เพราะมีข้อกังวลว่าอุปกรณ์หัวเว่ยอาจถูกรัฐบาลจีนใช้สอดแนม โดยสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำการค้ากับหัวเว่ย เดือน พ.ค. 2019 ส่วนเดือน ก.พ. นี้อัยการของสหรัฐฯ กล่าวหาว่า หัวเว่ยขโมยความลับทางการค้าและช่วยเหลืออิหร่านติดตามผู้ประท้วง ซึ่งหัวเว่ยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ Gobind Singh Deo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการสื่อสารของมาเลเซีย กล่าวว่า มาเลเซียตระหนักถึงความกังวลที่เผยแพร่ทั่วโลกเกี่ยวกับหัวเว่ย แต่เรื่องนี้จะถูกควบคุมดูแลโดยหน่วยงานดูแลมาตรฐานความปลอดภัยของรัฐในการเลือกพันธมิตรเข้าร่วมแผนเปิดตัวเครือข่าย 5G ของประเทศในไตรมาส 3 นี้ “มุมมองเราชัดเจนมาก เรามีหน่วยงานดูแลมาตรฐานความปลอดภัยของเรา เรามีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยของตัวเอง ถ้าใครก็ตามมาพร้อมข้อเสนอเพื่อตกลงกับเรา เราต้องแน่ใจว่าผ่านมาตรฐานความปลอดภัย” Singh Deo กล่าว Singh Deo กล่าวอีกว่า เมื่อพูดเรื่องความปลอดภัย ไม่ว่าหัวเว่ยหรือรายอื่น คุณก็ต้องแน่ใจว่าระบบที่พวกเขานำเสนอเป็นอย่างไร เหมาะสมกับคุณหรือไม่ […]
กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ)
ในปี 2019 ที่ผ่านมา ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจีน GDP เติบโตลดลงอย่างมากในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเกิดจากปัจจัยต่างๆ เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ การประท้วงในฮ่องกง อัตราการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้เอกชนหลายแห่ง ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการหลายอย่างเพื่อปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้บรรยากาศการลงทุนไม่สดใสนัก แต่กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) สามารถผงาดทำกำไรได้สูงถึงกว่า 38% และสูงกว่าดัชนีชี้วัดเกินเท่าตัวโดดเด่นเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรมกองทุนหุ้นจีนประเภทที่ลงทุนได้ในทุกตลาด หรือกลยุทธ์แบบ All China Strategy ทั้งนี้ปัจจัยสำเร็จมาจากการเลือกลงทุนในบริษัทที่เติบโตสอดคล้องกับเศรษฐกิจยุคใหม่ การยกระดับการบริโภค การยกระดับอุตสาหกรรมการผลิต รวมถึงการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีอย่างกว้างขวาง เช่น การวิจัยและพัฒนาเครือข่าย 6G เป็นต้น ปัจจุบัน หน่วยลงทุนมีหุ้นที่โดดเด่นสำคัญๆ ได้แก่ บริษัท Jiangsu Hengli Hydraylics ซึ่งเป็นผู้ผลิตไฮดรอลิกรายใหญ่ที่สุดในจีน และรายใหญ่อันดับ 8 ของโลก จำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าทั้งในประเทศ ลูกค้าต่างประเทศ อาทิ Caterpillar ธุรกิจมีผู้แข่งขันในตลาดน้อยราย บริษัท Ping An Insurance […]
กองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์ (BCARE) และกองทุนเปิดบัวหลวงโกลบอลเฮลธ์แคร์เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCARERMF)
มุมมองต่อประเด็นทางการเมืองต่อระบบเฮลธ์แคร์ของสหรัฐฯ กองทุนหลักมองว่าโอกาสหรือความเป็นไปได้ที่โครงสร้างเฮลธ์แคร์ของสหรัฐฯ จะเปลี่ยนจากปัจจุบันไปสู่ระบบที่รัฐเข้าดูแลจัดการสวัสดิภาพของพลเมืองทั้งหมดหรือที่เรียกว่า Universal or government run healthcare system หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้นเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากจะใช้งบประมาณประเทศที่สูงเกินจะแบกจะรับไหว ข้อเสนอระบบประกันสุขภาพที่ประชาชนทุกคนมีสิทธิใช้บริการเท่าเทียมกันหรือ Medical for all ของพรรคเดโมแครทนั้น ใช้งบประมาณสูงถึง 30 -50 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และใช้ระยะเวลาในการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนงานรวม 10 ปี ตัวเลขนี้อยู่สูงกว่าขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในตอนนี้ที่คิดเป็นมูลค่า 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์อีกอย่างหนึ่งที่ฝั่งนักการเมืองผู้เสนอยังไม่ได้ประเมินคือ มีชาวอเมริกันจำนวน 180 ล้านครัวเรือนที่ใช้บริการประกันสุขภาพภาคเอกชน ผู้ให้บริการประกันสุขภาพภาคเอกชนดังกล่าว เมื่อนับรวมกับความร่วมมือภาครัฐผ่านสวัสดิการโอบามาแคร์แล้ว ก็แทบจะครอบคลุมคนสหรัฐฯ ในกลุ่มอยู่แล้ว หากจะเหลือก็มีเพียงแค่ พลเมืองสหรัฐฯ อีก 10 ล้านคน ซึ่งยังไม่มีหลักประกันสุขภาพค่ารักษาพยาบาล ณ จุดนี้ ทำให้ดูเหมือนว่าการที่รัฐจะเข้ามาดูแลกลุ่มคนเพียง 10 ล้านคน ด้วยการรื้อถอนโครงสร้างระบบประกันสุขภาพของประเทศใหม่หมดไม่เมคเซนซ์เอาเสียเลย ด้วยเงินจำนวนมหาศาลที่ต้องใช้ ในเชิงยุทธศาสตร์การเมืองการบริหารประเทศ จึงเป็นไปได้ยาก […]